ความหมายและความสำคัญของการคบเพื่อนต่างเพศ |
เพื่อน หมายถึง บุคคลผู้เป็นที่รักใคร่ชอบพอ สนิทสนม คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เช่น เพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนร่วมชั้นเรียน การคบเพื่อนต่างเพศ หมายถึง การคบหาสมาคมกับบุคคลที่ต่างจากเพศเดียวกับตน เมื่อวิเคราะห์ถึงความสำคัญของการคบเพื่อนต่างเพศแล้วจะพบว่า เพื่อนเป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของวัยรุ่นทุกคน เพราะสามารถสร้างความสุขสดชื่น สนุกสนาน และเป็นคนที่คอยแนะนำและให้คำปรึกษาแก่เราทั้งในยามสุขและยามทุกข์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการคบเพื่อนถือว่าเป็นรูปแบบของพัฒนาการทางสังคมที่สำคัญอย่างหนึ่งของวัยรุ่น วัยรุ่นเมื่อย่างก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ย่อมมีความต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่นอกเหนือไปจากเพื่อนเพศเดียวกัน นั่นก็คือ ความปรารถนาจะได้ความเป็นเพื่อนกับเพศตรงข้าม ซึ่งเป็นความต้องการตามธรรมชาติ และการคบเพื่อนต่างเพศนี้เอง จึงทำให้เกิดการเรียนรู้ถึงวิธีการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนต่างเพศเพื่อนำไปสู่การมีครอบครัวในอนาคต และโดยเหตุที่ธรรมชาติของเพศชายและเพศหญิงมีความแตกต่างกัน นักเรียนจึงควรเรียนรู้ ทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้อง จะช่วยให้พัฒนาการทางวุฒิภาวะและบุคลิกภาพมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น |
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558
รูปแบบของการคบเพื่อนต่างเพศในวัยรุ่น |
การคบเพื่อนต่างเพศมีความสำคัญต่อวัยรุ่นดังที่ได้กล่าวแล้ว ซึ่งในที่นี้จะนำเสนอรูปแบบการคบเพื่อนต่างเพศในวัยรุ่นที่มีรูปแบบเฉพาะบุคคลที่แตกต่างกัน ดังนี้ |
1. การคบเพื่อนต่างเพศในฐานะเพื่อสนิท
นักเรียนในฐานะที่อยู่ในวัยกำลังศึกษาเล่าเรียน ทั้งอยู่ในระบบ นอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยต้องพบปะ พูดคุย ทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น หรือประสบการณ์กับเพื่อนทั้งเพื่อนเพศเดียวกันและเพื่อนต่างเพศ ซึ่งการคบหาสมาคมกันนั้นย่อมต้องเกิดสายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่ให้ความสนใจกับเพื่อนต่างเพศ จะเกิดความพึงพอใจเฉพาะบุคคลในการคบหาสมาคมกับเพื่อนใดคนหนึ่งหรือหลายคน ซึ่งมีความแตกต่างกันจนก่อความสัมพันธ์เป็นเพื่อนสนิท ไปไหนมาไหนด้วยกัน รับประทานอาหารร่วมกัน ทำกิจกรรมที่ชอบและมีความสนใจร่วมกัน ซึ่งการปฏิบัติในลักษณะที่เด่นชัดที่พบว่า เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็สามารถบอกเล่า ปรึกษากันได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีในระดับความสัมพันธ์ตามวัย การคบเพื่อนต่างเพศเป็นเพื่อนสนิทมีข้อดีคือ ช่วยทำให้รู้จักการปรับตัว วางตัวกับบุคคลที่ไม่ใช่เพศเดียวกับตน ได้ศึกษาเรียนรู้นิสัยใจคอ ช่วยพัฒนาความรู้ ความคิด ประสบการณ์ และสร้างบุคลิกภาพให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เมื่อเจริญเติบโตออกสู่สังคมก็ช่วยลดปัญหาการปรับตัวระหว่างเพศได้มาก เป็นต้น 2.การคบเพื่อนต่างเพศในฐานะคู่รัก การคบเพื่อนต่างเพศในฐานะคู่รักเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ก็อย่างหนึ่งที่มีขึ้นได้ในวัยรุ่นซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากช่วงนี้วัยรุ่นมีพัฒนาการความเจริญเติบโตขึ้นมาก ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ที่ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ ย่อมมีความปรารถนาต้องการให้ตนเองเป็นที่รักหรือให้ความรัก ความสนใจกับผู้อื่นมากเป็นพิเศษ นอกเหนือจากพ่อแม่ผู้ปกครองที่เคยมีมา ความรักเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกสุข สดชื่น มีกำลังใจ มีคุณค่า และมีพลังในการต่อสู้ เรียนรู้ และทำกิจกรรมของชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สำหรับการก่อเกิดความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศของวัยรุ่นในฐานะคู่รักก็เช่นเดียวกัน สามารถสร้างพลังสร้างสรรค์ในวัยรุ่นได้ ถ้ารู้จักรักให้เป็นและวางตัวให้ถูกต้องเหมาะสมตามวัย ชักชวนกันตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อหาความรู้ใส่ตัวให้มากจะได้มีอนาคตที่ดีต่อไป ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของวัยรุ่นที่ควรทำ 3.การคบเพื่อนต่างเพศในฐานะเพื่อนร่วมปฏิบัติงาน เพื่อนร่วมปฏิบัติงานที่เป็นเพื่อนต่างเพศ มีส่วนสำคัญต่อการดำรงชีวิตของวัยรุ่นเช่นเดียวกัน ซึ่งเพื่อนลักษณะนี้ถ้าร่วมปฏิบัติงานกันเป็นระยะเวลานานก็สามารถพัฒนาความสัมพันธ์กลายเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจได้ แต่อย่างไรก็ตามการร่วมปฏิบัติงานกันในระยะเวลาสั้นก็ควรคำนึงถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันด้วย เพื่อให้งานหรือกิจกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ประสบผลสำเร็จลุล่วงตามต้องการ การคบเพื่อนต่างเพศที่มาร่วมงานกันต้องอาศัยการเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่มากพอในระดับหนึ่งด้วย เช่น ลักษณะบุคลิกภาพ นิสัยใจคอ เพื่อจะได้วางตัวและปฏิบัติต่อกันได้อย่างถูกต้องเหมาะสมไม่ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งหรือไม่ลงรอยกันตามมาได้ |
การให้โอกาสเรียนรู้จักเพศตรงข้าม
ยุคปัจจุบันที่สังคมไทยเปิดเผยเรื่องเพศเพิ่มขึ้น มีการแสดงออกเพิ่มขึ้นจนเห็นตัวอย่างได้ง่ายๆที่ชายหญิงกอดกัน แต่งตัวอวดรูปร่างเพิ่มขึ้นและเห็นว่าธรรมดา เป็นแฟชั่นทันสมัย ขณะเดียวกันสื่อโทรทัศน์ที่มีเรื่องทางเพศมากมายทุกรูปแบบ จนทำให้วัยรุ่นไม่ค่อยมีความระมัดระวังตัวในเรื่องเพศ
พ่อแม่ยุคใหม่จึงลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่มีลูกสาวหรือลูกชายที่สาวๆรุมจีบ โทรมาไม่เว้นแต่ละวัน จะห้ามมากๆก็กลัวจะแอบหนีไปพบกัน จะส่งเสริมก็ใช้ที่ ความที่พ่อแม่มีประสบการณ์มาก่อนและสามารถมองเหตุการณ์ล่วงหน้าในทางไม่ดีได้มากกว่า และไม่อยากให้ลูกได้รับอันตราย
1. ข้อดี การที่ลูกเรามีคนมาชอบ แสดงว่าลูกเรามีส่วนดีที่คนอื่นมองเห็น และถ้าลูกชอบเพศตรงข้ามแสดงว่าลูกเราไม่ผิดเพศแน่นอน และช่วงนี้จะเป็นช่วงที่วัยรุ่นสนใจ อยากรู้ อยากเห็น อยากปรับปรุงตัวเองช่วงหนึ่ง จึงเป็นช่วงที่พ่อแม่จะเป็นพี่เลี้ยงในการให้คำแนะนำในสิ่งที่เหมาะสม จะเป็นช่วงที่มีการเรียนรู้ได้สูง
2.จังหวะ จังหวะที่สอนในเรื่องต่างๆมีความสำคัญ สิ่งควรสอนก่อนที่วัยรุ่นจะเริ่มมีแฟน เช่น สอนให้หัดยับยั้งตัวเอง ให้ทำตามกฎเกณฑ์ มีวินัยในตัว รับผิดชอบผลของการกระทำ ให้เรียนรู้จักคนหลายๆด้าน ความแตกต่างชายหญิง เป็นต้น แต่เมื่อมีแฟนแล้วก็ให้สอนวิธีการในการมีแฟนอย่างปลอดภัยโดยไม่เสียการเรียน มารยาทที่จะทำให้ต้องตา ถูกใจทั้งผู้ใหญ่และคนที่เขาชอบ เช่น การวางตัว การรักษาเวลา การแบ่งเวลา การดูแลความสะอาด ความมั่นคง การป้องกันอันตราย ความเป็นสุภาพบุรุษ คือ การให้เกียรติทั้งแฟนและญาติผู้ใหญ่ ความเป็นสุภาพสตรี คือ การวางตัว การรักษาเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ของทั้งตัวเองและพ่อแม่ เป็นต้น
3. ขอบเขต การที่คนรักกัน หรือชอบกันเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น ถ้าสามารถนำความรัก ความชอบมาพัฒนาทั้งคู่ให้ดีขึ้น กำหนดขอบเขตที่เหมาะสมในการคบเพื่อนต่างเพศให้เหมาะสมเพื่อที่ไม่ไปรบกวนการเรียน พยายามดึงใจตัวเองมิให้วอกแวก เวลาเรียนเพื่อการเรียน ติดต่อนอกห้องเรียนเพื่อช่วยเหลือการเรียน เลี่ยงการคุยกันนานๆจนรบกวนเวลาที่ควรอยู่รวมในครอบครัว มีเวลาพบกันในยามว่างเป็นครั้งคราว การที่มีขอบเขตที่เหมาะสมจะทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้ใหญ่
4.โอกาสที่สูญเสีย ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่มีการเรียนรู้และปรับตัวสูงมากช่วงหนึ่งของชีวิต การเรียนรู้จักเพศตรงข้ามตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จำเป็นที่ทั้งคู่จะต้องใกล้ชิดกันเพิ่มขึ้น การพูดคุย การทำกิจกรรมร่วมกันทั้งในและนอกโรงเรียน จะทำให้วัยรุ่นได้เรียนรู้จักกัน และยิ่งวางสถานภาพเป็นเพียงแค่ “ เพื่อนที่น่าสนใจ” จะยิ่งเปิดโอกาสแก่ตัวเองในการศึกษาเพศตรงข้ามได้หลายคน และถ้าอยู่ในกลุ่มเพื่อนหลายคน ไปไหนไปด้วยกัน ร่วมลำบาก เผชิญปัญหาต่างๆก็จะยิ่งเข้าใจ เรียกว่าได้เรียนรู้เพศตรงข้ามอย่างปลอดภัย ระยะที่คบกันใหม่ๆทุกคนจะแสดงส่วนที่ดีออกมาทั้งนั้นเพื่อสร้างความประทับใจ แต่ถ้าคบกันเกิน 5-7 ปี ก็จะเข้าใจตัวจริง แต่การที่ทั้งคู่ยอมรับว่าเป็นแฟนกันเร็วเกินไป นอกจากจะตัดโอกาสในการทำความรู้จักคนอื่นแล้ว ยังเสียโอกาสในการเรียนรู้อีกหลายด้านของชีวิตไปอย่างน่าเสียดายเพราะมัวแต่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานเกินไป
5. ให้พ่อแม่รับรู้ พ่อแม่หลายคู่ที่ไม่ใกล้ชิด สนิทสนมกับลูกวัยรุ่นมักจะเป็นผู้ที่รับรู้เรื่องราวต่างๆได้ช้ามาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติในตัวพ่อแม่ที่จะพัฒนาเทคนิค ปรับตัว วิธีพูดคุยกับวัยรุ่นได้ดีเพียงไร ขณะเดียวกันวัยรุ่นจะไตร่ตรองทัศนคติของพ่อแม่ว่าจะยอมรับในเรื่องเพศได้ดีมากน้อยแค่ไหนเช่นกัน การที่วัยรุ่นได้พบคนที่รักและถูกใจก็เป็นความภาคภูมิใจในชีวิตอย่างหนึ่ง และถ้านำมาให้พ่อแม่ได้รู้จักคนที่เขารักและมองเห็นข้อดีในตัวแฟนเขา ก็จะยิ่งรู้สึกว่าเข้ากับพ่อแม่ได้เพิ่มขึ้น พ่อแม่ก็จะมีโอกาสศึกษาและให้ข้อชี้แนะวัยรุ่นได้ แต่ในทางตรงข้ามถ้าพ่อแม่แข็งกร้าว ดุดัน วัยรุ่นจะยิ่งหลบซ่อน ทำให้การชี้แนะต่างๆทำได้ยาก ขาดโอกาสเรียนรู้ถึงความถูกต้อง เหมาะสม
รายละเอียดข้อมูลที่ศึกษา
การสนใจเพศตรงข้ามเป็นธรรมชาติของวัยรุ่น
การที่วัยรุ่นจะคบเพื่อนต่างเพศไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดในสังคมปัจจุบัน
ลักษณะการคบเพื่อนต่างเพศ
- คบแบบเพื่อน
- คบแบบคู่ควงหรือคู่รัก
อายุระหว่าง 14-16 ปี เด็กชายจะเริ่มสนใจผู้หญิง บางคนเริ่มจับคู่กัน วัยรุ่นชายและหญิงต้องการการตอบสนองทางเพศแตกต่างกัน
การคบกันแบบคู่ควงหรือคู่รักความรักระหว่างหญิงชาย มักเริ่มต้นจากความรู้สึกชอบพอกัน อารมณ์รักที่เกิดขึ้นจะทำให้ทั้งคู่รู้สึกคิดถึงกัน อยากเห็นหน้าและต้องการพูดคุยใกล้ชิดกันตลอดเวลา แต่อารมณ์รักของหญิงและชายก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย เพราะธรรมชาติสร้างผู้ชายและผู้หญิงให้มีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ และนั่นเป็นสาเหตุที่อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ลักษณะการคบเพื่อนต่างเพศ
- คบแบบเพื่อน
- คบแบบคู่ควงหรือคู่รัก
อายุระหว่าง 14-16 ปี เด็กชายจะเริ่มสนใจผู้หญิง บางคนเริ่มจับคู่กัน วัยรุ่นชายและหญิงต้องการการตอบสนองทางเพศแตกต่างกัน
การคบกันแบบคู่ควงหรือคู่รักความรักระหว่างหญิงชาย มักเริ่มต้นจากความรู้สึกชอบพอกัน อารมณ์รักที่เกิดขึ้นจะทำให้ทั้งคู่รู้สึกคิดถึงกัน อยากเห็นหน้าและต้องการพูดคุยใกล้ชิดกันตลอดเวลา แต่อารมณ์รักของหญิงและชายก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันอยู่ไม่น้อย เพราะธรรมชาติสร้างผู้ชายและผู้หญิงให้มีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ และนั่นเป็นสาเหตุที่อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ความรักเป็นเหตุให้ชายและหญิงต้องการอยู่ใกล้ชิดกัน ได้นั่งพูดคุย หยอกล้อ
สบตากันปิ๊งๆๆ อยากสัมผัสมือกัน จูงมือเดินคุยกันกระหนุงกระหนิง
เมื่อสัมพันธภาพแน่นแฟ้มมากขึ้น ก็เปลี่ยนจากการจับมือเป็นโอบไหล่ กอดคอ
ในช่วงแรกๆ การพบกันทุกครั้งยังอยู่ในที่เปิดเผย เพราะฝ่ายหญิงอาจจะยังไม่แน่ใจในฝ่ายชายมากนัก
แต่เมื่อความรักดำเนินการไปถึงขั้นไว้วางใจ
ทั้งคู่จะเริ่มรู้สึกว่าต้องการมีเวลาอยู่กันตามลำพังโดยไม่มีเพื่อนๆ
คอยขัดคอหรือถูกแซวเวลาจีบกัน การนัดพบเป็นกลุ่มจึงเปลี่ยนเป็นการนัดพบกันตามลำพังสองต่อสองในที่ลับตาคนมากขึ้น
เพราะทั้งคู่เริ่มต้องการความเป็นส่วนตัวที่จะสามารถจู๋จี๋กันได้อย่างสนิทใจ
แบบไม่มี ก-ข-ค โดยไม่ได้เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่าความใกล้ชิดประกอบกับความพึงพอใจ
และความแตกต่างระหว่างชายหญิงจะเป็นบันไดที่นำไปสู่ความรักซึ่งเป็นความปรารถนาที่ซ่อนเร้นของมนุษย์ที่กำลังตกอยู่ในความรัก
วัยรุ่นกับการอกหัก
มีวัยรุ่นหลายคนที่เคยพบกับปัญหาถูกแฟนหรือคนรักตีจาก ต้องพกพาความเศร้าเสียใจ ความชอกช้ำระกำใจ ร้องไห้ฟูมฟายว่าตนเองกลายเป็นคนอกหัก ถูกแฟนหรือคนรักหมดรัก ทอดทิ้ง และกล่าวโทษตนเองว่าไม่ดีพอ ไม่สวย ไม่น่ารัก จึงไม่สามารถพิชิตใจคนรักไว้ได้ กล่าวโทษคนรักว่าเขาไม่ดี หลายใจ มากรัก ไม่ซื่อสัตย์ ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นคนดี ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้เขาทั้งหมด เป็นต้น
ฉะนั้น เราต้องดำเนินชีวิตอยู่เพื่อค้นพบในสิ่งที่ดีกว่าเดิม ไม่จมกับอดีตนานเกินไป เมื่อเราค้นพบความสำเร็จ ความลงตัวในชีวิตที่แท้จริง เราจะรู้ว่าประสบการณ์ครั้งเก่าก่อน สอนให้เราต่อสู้ชีวิตได้มากทีเดียว สิ่งที่เราเคยคิดว่าเราสูญเสียไปกับความรักที่ทำให้เราอกหัก แท้จริงไม่ได้มากอย่างที่เราคิดเลย
มีวัยรุ่นหลายคนที่เคยพบกับปัญหาถูกแฟนหรือคนรักตีจาก ต้องพกพาความเศร้าเสียใจ ความชอกช้ำระกำใจ ร้องไห้ฟูมฟายว่าตนเองกลายเป็นคนอกหัก ถูกแฟนหรือคนรักหมดรัก ทอดทิ้ง และกล่าวโทษตนเองว่าไม่ดีพอ ไม่สวย ไม่น่ารัก จึงไม่สามารถพิชิตใจคนรักไว้ได้ กล่าวโทษคนรักว่าเขาไม่ดี หลายใจ มากรัก ไม่ซื่อสัตย์ ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นคนดี ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้เขาทั้งหมด เป็นต้น
ฉะนั้น เราต้องดำเนินชีวิตอยู่เพื่อค้นพบในสิ่งที่ดีกว่าเดิม ไม่จมกับอดีตนานเกินไป เมื่อเราค้นพบความสำเร็จ ความลงตัวในชีวิตที่แท้จริง เราจะรู้ว่าประสบการณ์ครั้งเก่าก่อน สอนให้เราต่อสู้ชีวิตได้มากทีเดียว สิ่งที่เราเคยคิดว่าเราสูญเสียไปกับความรักที่ทำให้เราอกหัก แท้จริงไม่ได้มากอย่างที่เราคิดเลย
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ทักษะในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการคบเพื่อนต่างเพศ |
การคบเพื่อนต่างเพศของวัยรุ่นใช่ว่าจะราบรื่นและประสบความสำเร็จในสัมพันธภาพระหว่างกันเสมอไป หลายกรณีวัยรุ่นต้องประสบกับปัญหาจากการคบเพื่อนต่างเพศที่มีผลกระทบต่อตนเองมากน้อยแตกต่างกัน ซึ่งตัวของวัยรุ่นเองไม่ได้คาดคิดไว้ก่อนล่วงหน้า เช่น ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากความไม่เข้าใจกัน ปัญหาการมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนเวลาอันควร เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาที่กล่าวมาอาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ อีกทั้งถ้าเป็นปัญหาที่หนักเกินไป วัยรุ่นเองไม่พร้อมที่จะสามารถรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ |
ดังนั้น การศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนล่วงหน้า ด้วยการเรียนรู้และฝึกทักษะในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากการคบเพื่อนต่างเพศ ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มีความจำเป็นสำหรับวัยรุ่นและถือว่าเป็นทักษะของชีวิต ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1.การคบเพื่อน ต่างเพศไม่ว่าในลักษณะหรือรูปแบบใดก็ตาม ควรระวังตัวมากกว่าปกติ เพราะมีธรรมชาติแตกต่างจากเพศเดียวกับตน การปฏิบัติต่อกันจนเกินเลย เช่น ถูกเนื้อต้องตัวหยอกล้อหรือเล่นกันด้วยความรุนแรง อาจทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจจนตัดความสัมพันธ์จากความเป็นเพื่อนได้ 2.เมื่อมีปัญหาความไม่เข้าใจกัน อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพศไม่ราบรื่น จึงไม่ควรแสดงความโกรธต่อกันแต่ควรพูดคุยปรับความเข้าใจกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนดำเนินไปได้ด้วยดี 3.ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนจะมั่นคงและยืนนานได้ต้องแสดงความจริงใจ และมีน้ำใจต่อกัน และเปิดเผยตรงไปตรงมา 4. การเคารพในสิทธิและให้เกียรติซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญที่วัยรุ่นควรปฏิบัติ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพให้สมบูรณ์ และพร้อมเข้าสู่สังคมที่กว้างขึ้นในอนาคต 5.การยอมรับความแตกต่างระหว่างเพศจะช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของกันและกัน สามารถช่วยให้ปรับตัวเข้าหากันได้ดีขึ้น 6.เมื่อเพื่อนมีปัญหา เกิดความทุกข์ มีความเดือดร้อน หรือไม่สบายใจต้องแสดงความเห็นใจช่วยปลอบโยน เพื่อให้คลายความกังวล และถ้ามีความพร้อมที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาได้ โดยไม่ทำให้ตนเองต้องเดือดร้อนควรรีบช่วยเหลือ เพื่อจะภูมิใจในตัวเราเป็นอย่างมาก 7.การปฏิบัติและวางตนในฐานะเพื่อนที่ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยสร้างสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นยืนนาน |
วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ผลการวิจัยในการคบเพื่นต่างเพศ
ผลการศึกษา สรุปได้ดังนี้
1. นักเรียนมัธยมศึกษาเพศชายมีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศสูงกว่าเพศหญิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. นักเรียนที่ศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. นักเรียนมัธยมศึกษาที่ศึกษาในโรงเรียนชายล้วน มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศสูงกว่า นักเรียนมัธยมศึกษาที่ศึกษาในโรงเรียนหญิงล้วนและโรงเรียนสหศึกษา และนักเรียนมัธยมศึกษาที่ศึกษาในโรงเรียน สหศึกษา มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศสูงกว่า นักเรียนมัธยมศึกษาที่ศึกษาในโรงเรียนหญิงล้วน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. นักเรียนมัธยมศึกษาที่มีช่องว่างระหว่างวัยกับผู้ปกครองในระดับ มาก ปานกลาง และน้อย มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศไม่แตกต่างกัน
5. นักเรียนมัธยมศึกษาที่มีสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครองในระดับปานกลางมีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศสูงกว่านักเรียนมัธยมศึกษาที่มีสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครองในระดับสูงและต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
6. นักเรียนมัธยมศึกษาที่มีสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อนในระดับสูง ปานกลาง และต่ำ มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศไม่แตกต่างกัน
7. นักเรียนมัธยมศึกษาที่รับสื่อ วิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และอินเตอร์เน็ต มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
8. ปัจจัยทางชีวสังคมร่วมกันทำนายเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย ได้ร้อยละ 37.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
9. ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย มี 4 ปัจจัยโดยเรียงลำดับจากตัวแปรที่ส่งผลมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้แก่ ระดับชั้น สื่อโทรทัศน์ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง ซึ่งปัจจัยทั้ง 4 ปัจจัยนี้สามารถร่วมกันพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย ได้ร้อยละ 36.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนำค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์เขียนเป็นสมการได้ดังนี้
สมการพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย โดยใช้คะแนนดิบได้แก่
^
Y = 2.20 +.13(GR) + .26(MD4) + .23(FR) - .23(PR)
สมการพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย โดยใช้คะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .40(GR) + .22(MD4) + .24(FR) - .23(PR)
10. ปัจจัยทางชีวสังคมร่วมกันทำนายเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง ได้ร้อยละ 36.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
11. ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง มี 3 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากตัวแปรที่ส่งผลมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง ระดับชั้น และโรงเรียนสหศึกษา ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 ปัจจัยนี้สามารถร่วมกันพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง ได้ร้อยละ 34 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนำค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์ เขียนเป็นสมการได้ดังนี้
สมการพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง โดยใช้คะแนนดิบ ได้แก่
^
Y = 3.23 - .27(PR) +.10(GR) -.27(SC1)
สมการพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง โดยใช้คะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = -.34(PR) + .32(GR) - .25(SC1)
ผลการศึกษา สรุปได้ดังนี้
1. นักเรียนมัธยมศึกษาเพศชายมีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศสูงกว่าเพศหญิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. นักเรียนที่ศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. นักเรียนมัธยมศึกษาที่ศึกษาในโรงเรียนชายล้วน มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศสูงกว่า นักเรียนมัธยมศึกษาที่ศึกษาในโรงเรียนหญิงล้วนและโรงเรียนสหศึกษา และนักเรียนมัธยมศึกษาที่ศึกษาในโรงเรียน สหศึกษา มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศสูงกว่า นักเรียนมัธยมศึกษาที่ศึกษาในโรงเรียนหญิงล้วน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. นักเรียนมัธยมศึกษาที่มีช่องว่างระหว่างวัยกับผู้ปกครองในระดับ มาก ปานกลาง และน้อย มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศไม่แตกต่างกัน
5. นักเรียนมัธยมศึกษาที่มีสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครองในระดับปานกลางมีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศสูงกว่านักเรียนมัธยมศึกษาที่มีสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครองในระดับสูงและต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
6. นักเรียนมัธยมศึกษาที่มีสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อนในระดับสูง ปานกลาง และต่ำ มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศไม่แตกต่างกัน
7. นักเรียนมัธยมศึกษาที่รับสื่อ วิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และอินเตอร์เน็ต มีเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
8. ปัจจัยทางชีวสังคมร่วมกันทำนายเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย ได้ร้อยละ 37.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
9. ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย มี 4 ปัจจัยโดยเรียงลำดับจากตัวแปรที่ส่งผลมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้แก่ ระดับชั้น สื่อโทรทัศน์ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง ซึ่งปัจจัยทั้ง 4 ปัจจัยนี้สามารถร่วมกันพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย ได้ร้อยละ 36.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนำค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์เขียนเป็นสมการได้ดังนี้
สมการพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย โดยใช้คะแนนดิบได้แก่
^
Y = 2.20 +.13(GR) + .26(MD4) + .23(FR) - .23(PR)
สมการพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศชาย โดยใช้คะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .40(GR) + .22(MD4) + .24(FR) - .23(PR)
10. ปัจจัยทางชีวสังคมร่วมกันทำนายเจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง ได้ร้อยละ 36.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
11. ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง มี 3 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากตัวแปรที่ส่งผลมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง ระดับชั้น และโรงเรียนสหศึกษา ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 ปัจจัยนี้สามารถร่วมกันพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง ได้ร้อยละ 34 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนำค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์ เขียนเป็นสมการได้ดังนี้
สมการพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง โดยใช้คะแนนดิบ ได้แก่
^
Y = 3.23 - .27(PR) +.10(GR) -.27(SC1)
สมการพยากรณ์เจตคติในการคบเพื่อนต่างเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาเพศหญิง โดยใช้คะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = -.34(PR) + .32(GR) - .25(SC1)
วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ความคิดเห็นเกี่ยวกับการคบเพื่อนต่างเพศ
ข้อดี
ได้เรียนรู้ทัศนคติของเพศตรงข้าม ตั้งแต่เราเริ่มเป็นวัยรุ่นกันมาจนถึงเร่มเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลาย....แล้วก็ ได้เรียนรู้ความคิดแปลก ๆ ใหม่ ๆ หลายอย่างที่เราอาจจะมองไม่เห็นหรือคิดไม่ถึง เพื่อนผู้ชายออกความเห็นที่สมเหตุสมผล ใช้เหตุผลมากกว่าเพื่อนผู้หญิงส่วนใหญ่
เพื่อนผู้ชายไม่เรื่องมาก ลุยไหนลุยกัน...( แต่ก็มีเพื่อนผู้ชายบางคนที่เรื่องมากกว่าเพื่อนผู้หญิง)
เฮฮาได้ ปล่อยมุขตลกติงต๊องแค่ไหนก็ได้ เพราะมีแนวโน้มที่มันจะต๊องกว่าเรา
สามารถใช้กำลังได้ ( แม้จะสู้ไม่ได้) เวลาหมั่นไส้ เช่น ตีมัน ด่าแรง ๆ ได้ เวลาโมโห มันไม่โกรธ
มีคนช่วยกินข้าวเวลากินไม่หมด ไม่ต้องทิ้ง เสียดายกลายเป็นก๊าซมีเทนโลกร้อน... ( ในทางกลับกันก็ทำให้กินข้าวเร็วขึ้นด้วย และบางทีก็กินเยอะขึ้นด้วย มีพักนึงกินข้าวกับเพื่อน/พี่ผู้ชายเป็นส่วนมาก ก็ต้องกินเร็ว+เยฮะกว่าปกติ)
เวลาต้องการความช่วยเหลือ แค่ทำเสียงง้องแง้ง เพื่อนก็มักใจอ่อน เช่น ช่วยหน่อยน้า....ทำให้หน่อยสิ นะ นะ...ทำไม่ได้อ่ะ....( แต่วิธีการนี้ก็ไม่ได้ผลกับเพื่อนบางคน หรือบางทีมักถูกด่าก่อน แต่เพื่อนก็ช่วยทีหลัง)
ไม่ค่อยถูกขัดใจ เพื่อนผู้ชายมักตามใจ เช่นจะกินอะไร จะไปไหน ( แต่ก็ไม่เสมอไป )
มีคนคอยเป็นห่วงเป็นไย ( แต่บางทีก็ออกแนวหวง ) โดยเราไม่ต้องเอาตัวไปผูกมัดด้วย
เพื่อนผู้ชายไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่มีเรื่องหยุมหยิมกวนใจ
ข้อเสีย
กลายเป็นผู้หญิงห่าม...เพราะอยู่กับเพื่อนผู้ชายมากจนจะกลายเป็นผู้ชายไป แล้ว ( สมัยมัธยม เคยมีเพื่อนผู้ชายชวนไปเตะบอล...หรือหาว่าเราเป็นลิง) พูดก็ไม่ค่อยเพราะ จนเคยตัว เพราะเวลาพูดคะ..ขาหรือพูดเพราะ ๆ หวาน ๆ กับเพื่อน คำถามที่ถามคือ... " มาไม้ไหนเนี่ยะ " ไปจนถึง " มรึงเป็นอะไร"
มีเรื่องให้หงุดหงิดใจเป็นพัก ๆ เช่นเวลาสนิทกับเพื่อนผู้ชายคนไหน แล้วบังเอิญมีผู้หญิงอื่น หรือเพื่อนผู้หญิงของเราแอบชอบ / มาสนใจมัน ก็จะถูกไซโคหรือมีการพูดจากวนใจ เพราะคิดว่าเราเป็นคู่แข่งทางความรักของมัน..
มีแนวโน้มเป็นนางสาวคานทองนิเวศน์ได้ เพราะว่ามีแต่เพื่อนๆๆๆ เพื่อน ๆๆๆ และเพื่อน ๆๆๆ แล้วบางทีคนนอกมองมาก็นึกว่าเพื่อนคือแฟนเรา.... แม้พวกเพื่อนผู้ชายชอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า คบใครบ้างแล้วยัง หรือถ้าสนใจใครอยู่ก็ให้เล่าให้ฟัง เพื่อจะได้ช่วยพิจารณาในสายตาผู้ชายว่าคน ๆ นั้นดีไหม...แต่สุดท้าย ชอบได้คำตอบที่ว่า อย่าไปคบเลย อย่าไปยุ่งเลย ไม่เข้าท่าหว่ะ
ความคิดเห็นของ NUI
ข้อดี
ได้เรียนรู้ทัศนคติของเพศตรงข้าม ตั้งแต่เราเริ่มเป็นวัยรุ่นกันมาจนถึงเร่มเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลาย....แล้วก็ ได้เรียนรู้ความคิดแปลก ๆ ใหม่ ๆ หลายอย่างที่เราอาจจะมองไม่เห็นหรือคิดไม่ถึง เพื่อนผู้ชายออกความเห็นที่สมเหตุสมผล ใช้เหตุผลมากกว่าเพื่อนผู้หญิงส่วนใหญ่
เพื่อนผู้ชายไม่เรื่องมาก ลุยไหนลุยกัน...( แต่ก็มีเพื่อนผู้ชายบางคนที่เรื่องมากกว่าเพื่อนผู้หญิง)
เฮฮาได้ ปล่อยมุขตลกติงต๊องแค่ไหนก็ได้ เพราะมีแนวโน้มที่มันจะต๊องกว่าเรา
สามารถใช้กำลังได้ ( แม้จะสู้ไม่ได้) เวลาหมั่นไส้ เช่น ตีมัน ด่าแรง ๆ ได้ เวลาโมโห มันไม่โกรธ
มีคนช่วยกินข้าวเวลากินไม่หมด ไม่ต้องทิ้ง เสียดายกลายเป็นก๊าซมีเทนโลกร้อน... ( ในทางกลับกันก็ทำให้กินข้าวเร็วขึ้นด้วย และบางทีก็กินเยอะขึ้นด้วย มีพักนึงกินข้าวกับเพื่อน/พี่ผู้ชายเป็นส่วนมาก ก็ต้องกินเร็ว+เยฮะกว่าปกติ)
เวลาต้องการความช่วยเหลือ แค่ทำเสียงง้องแง้ง เพื่อนก็มักใจอ่อน เช่น ช่วยหน่อยน้า....ทำให้หน่อยสิ นะ นะ...ทำไม่ได้อ่ะ....( แต่วิธีการนี้ก็ไม่ได้ผลกับเพื่อนบางคน หรือบางทีมักถูกด่าก่อน แต่เพื่อนก็ช่วยทีหลัง)
ไม่ค่อยถูกขัดใจ เพื่อนผู้ชายมักตามใจ เช่นจะกินอะไร จะไปไหน ( แต่ก็ไม่เสมอไป )
มีคนคอยเป็นห่วงเป็นไย ( แต่บางทีก็ออกแนวหวง ) โดยเราไม่ต้องเอาตัวไปผูกมัดด้วย
เพื่อนผู้ชายไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่มีเรื่องหยุมหยิมกวนใจ
ข้อเสีย
กลายเป็นผู้หญิงห่าม...เพราะอยู่กับเพื่อนผู้ชายมากจนจะกลายเป็นผู้ชายไป แล้ว ( สมัยมัธยม เคยมีเพื่อนผู้ชายชวนไปเตะบอล...หรือหาว่าเราเป็นลิง) พูดก็ไม่ค่อยเพราะ จนเคยตัว เพราะเวลาพูดคะ..ขาหรือพูดเพราะ ๆ หวาน ๆ กับเพื่อน คำถามที่ถามคือ... " มาไม้ไหนเนี่ยะ " ไปจนถึง " มรึงเป็นอะไร"
มีเรื่องให้หงุดหงิดใจเป็นพัก ๆ เช่นเวลาสนิทกับเพื่อนผู้ชายคนไหน แล้วบังเอิญมีผู้หญิงอื่น หรือเพื่อนผู้หญิงของเราแอบชอบ / มาสนใจมัน ก็จะถูกไซโคหรือมีการพูดจากวนใจ เพราะคิดว่าเราเป็นคู่แข่งทางความรักของมัน..
มีแนวโน้มเป็นนางสาวคานทองนิเวศน์ได้ เพราะว่ามีแต่เพื่อนๆๆๆ เพื่อน ๆๆๆ และเพื่อน ๆๆๆ แล้วบางทีคนนอกมองมาก็นึกว่าเพื่อนคือแฟนเรา.... แม้พวกเพื่อนผู้ชายชอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า คบใครบ้างแล้วยัง หรือถ้าสนใจใครอยู่ก็ให้เล่าให้ฟัง เพื่อจะได้ช่วยพิจารณาในสายตาผู้ชายว่าคน ๆ นั้นดีไหม...แต่สุดท้าย ชอบได้คำตอบที่ว่า อย่าไปคบเลย อย่าไปยุ่งเลย ไม่เข้าท่าหว่ะ
ความคิดเห็นของ NUI
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)